Saturday, January 20, 2007

ชอบจริงเหรอ?

จากวันที่ 27 พ.ย. 2549 จนถึงวันที่ 19 ม.ค. 2550 นับรวมได้เป็นเวลา 80 วันพอดิบพอดีที่ข้าพเจ้าไม่ได้แวะเวียนมาเขียนบล็อกเลย
เหตุมันมีอยู่ว่า......................

หลังจาก วันที่ 27 พ.ย. 2549 1 อาทิตย์ ข้าพเจ้าเขียนหนังสือไม่ได้เลยสักวันทั้งๆที่โดยปกติแล้ว จะเขียนได้ในทุกวัน --- มีบางอย่างผิดปกติ

นั่นคือ --- ความคิดของข้าพเจ้าที่มีต่อการเขียนหนังสือ "เราอาจจะเขียนหนังสือไม่ได้จริงว่ะ"

เมื่อเราเริ่มเกิดข้อกังขากับสิ่งที่ทำอยู่ มีความเป็นไปได้สูงว่า เราเกิดความหวั่นไหว ไม่มั่นใจกับสิ่งนั้นที่ทำอยู่

"เราชอบเขียนหนังสือจริงๆเหรอ?" เป็นความหวั่นไหวในใจที่ข้าพเจ้าเกิดสงสัยตามมาเสียอย่างนั้น

ข้าพเจ้าจึงหยุดเขียนบล็อก และใช้ชีวิตโดยไร้การเขียนหนังสือที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน แล้วเอาเวลาส่วนนั้นไปทำสิ่งอื่น
ในขณะที่ช่วงเวลาของการเขียนหนังสือหายไป ปรากฏว่า ข้าพเจ้าใช้ชีวิตได้ปกติมาก ไม่หื่นกระหาย เซี่ยนใกล้ลงแดงตาย โหยไห้ถึงการเขียนหนังสือ
หรือว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ชอบการเขียนหนังสือจริงๆด้วย -- นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังไม่ใช่คำตอบ

เข็มของนาฬิกาที่ถ่านยังไม่หมด เดินไปเรื่อยๆตามที่ควรจะเป็น พร้อมๆกับตารางปฏิทินที่เลื่อนไปเรื่อยๆ ตามที่โลกหมุนเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวัน
สลับกันไปอย่างนั้น ไม่มีวันหยุดพักผ่อน ข้าพเจ้าเองได้หยุดพักผ่อนบ้าง หยุดเดินบ้าง และยังหยุดเขียนหนังสือเหมือนเดิมด้วย เป็นมาอย่างนี้เรื่อยๆ
จนถึงเมื่อวานและข้ามผ่านมาสู่วันนี้

เมื่อเวลา 18.06 น. ของวันนี้ ข้าพเจ้าเกิดครึ้มหยิบสมุดและดินสอ ขึ้นมาจากกระเป๋าใบเก่าที่ไม่ได้แตะเลยมาเป็นเวลา 80 วัน
ความรู้สึกตอนที่ข้าพเจ้าหยิบสมุดคู่กาย หยิบดินสอคู่ใจขึ้นมา มันไม่ต่างจากวันที่วางทั้งสองอย่างนั้นไว้เฉยๆ และไม่ต่างจากก่อนหน้านั้น
ที่หยิบมันขึ้นมาทุกวันเพื่อเขียนหนังสือ เคยได้ยินว่า หากเราห่างหายจากสิ่งไหนไป เมื่อกลับมาหาใหม่ด้วยความคิดถึง หรือว่ากลับมาพบอีกครั้ง
แล้วรู้สึกได้ว่า คิดถึง นั่นหมายความว่าสิ่งนั้นสำคัญสำหรับเรา เรารู้สึกดีกับสิ่งนั้น หรือพูดให้ง่ายเข้าคือ เราชอบสิ่งนั้นนั่นเอง แต่อย่างที่ข้าพเจ้าบอก
ไม่มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะลองหยุด ห่างหายไปจากการเขียนหนังสือ หรือว่าจะกลับมาเขียนใหม่ ทุกอย่างเหมือนเดิม ข้าพเจ้ายังไม่ตาย
และไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากมายกับการจากไปหรือการกลับมา
หรือว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ชอบการเขียนหนังสือจริงๆด้วย -- มันยังคงเป็นข้อสันนิษฐาน ไม่ใช่คำตอบ

มีบางอย่างสะกิดใจให้ข้าพเจ้าย้อนคิดไปถึงเรื่องในวันวาน บางทีคำตอบของข้าพเจ้าวันนี้น่าจะเป็นคำตอบเดียวกันกับเรื่องวันนั้น

- เมื่อ 6 ปีก่อน จากที่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน ข้าพเจ้าเลิกอ่านหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 3 เดือน เพียงเพราะพ่อถามว่า ชอบอ่านหนังสือพิมพ์เหรอ
แล้วข้าพเจ้าตอบพ่อไปว่า ไม่รู้สิ 3 เดือนนั้น ข้าพเจ้ากินข้าวได้ตามปกติ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนิดหน่อย หายใจได้สะดวก ผลการเรียนไม่ตกลงแต่ก็ไม่เพิ่มขึ้น
ชีวิตประจำวันก็ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากโทรทัศน์แทนที่การอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วอยู่ๆในวันที่เป็นวันแรกของเดือนที่4 พ่อก็เดินถือหนังสือพิมพ์มาวาง
อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า มือไม้ก็ไม่ได้สั่นไหว หัวใจก็ไม่ได้เต้นแรงขึ้น ลมหายใจก็สูดเข้าออกปกติดี มีเพียงสายตาที่ทำงานผิดปกติหน่อย เพราะว่าต้องเพ่งอย่างหนัก เพื่ออ่านพาดหัวข่าวที่อยู่ไกลๆ จนทนปวดตาไม่ไหว เลยยื่นมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาอ่าน -- ด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้โหยหาเมื่อห่างหาย

แต่หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน เป็นเวลา 6 ปีแล้ว

- เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว จากที่นั่งร้านกาแฟทุกวัน ข้าพเจ้าเลิกนั่งร้านกาแฟเป็นเวลาเกือบเดือน เพียงเพราะพนักงานถามว่า ชอบนั่งร้านกาแฟเหรอคะ
แล้วข้าพเจ้าตอบเธอว่า ไม่รู้สิ ในช่วงเวลาเกือบเดือนนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เฉียดผ่านร้านกาแฟน่านั่งร้านไหน และไม่ได้ร้องโวยวายเหมือนเด็กจะเอาของเล่น
เมื่อเห็นร้านกาแฟร้านประจำแล้วไม่ได้เข้าไป แล้วอยู่ๆเพื่อนข้าพเจ้าก็โทรมานัดพบ สถานที่คือ ร้านกาแฟร้านนั้น ร้านประจำที่ข้าพเจ้าไม่ยอมแวะเวียน
พนักงานหน้าเดิมๆ ข้าพเจ้าสั่งกาแฟแบบเดิมๆ และก้าวเท้าไปอย่างเชื่องช้าไปนั่งตรงที่นั่งเดิมๆที่ว่างอยู่ -- ด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้โหยหาเมื่อห่างหาย

และหลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็นั่งดื่มกาแฟที่ร้านนี้เกือบทุกวัน

สิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่ทุกวี่วัน หรือบางวันก็ปล่อยปละละเลยมันไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่กลับไปหาก็ยังพบว่าสถานภาพที่มีต่อกันยังดีอยู่

จะว่าไปการกระทำของคนเราเลือกจะทำส่วนใหญ่มักมีพื้นฐานมาจากความชอบ


ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพิมพ์แล้วมีความสุข
ข้าพเจ้านั่งในร้านกาแฟร้านนั้นแล้วมีความสุข
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือแล้วมีความสุข

และความสุขนั้นก็ยังคงอยู่ โดยไม่ต้องขวนขวายหาว่ามันหายไปไหน เมื่อไม่ได้ทำ

ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือพิมพ์
ข้าพเจ้าชอบนั่งในร้านกาแฟร้านนั้น
ข้าพเจ้าชอบเขียนหนังสือ

และไม่มีอะไรต้องสงสัยให้หวั่นไหวอีกต่อไป ในการกระทำและความรู้สึกของตัวเอง









"สิสิร"