Thursday, March 15, 2007

ไม่เคยจะห่างกัน

มัธยมต้น เมื่อเรียนจบ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่มีเฟรนด์ชิปให้เพื่อนเขียนอำลา
มัธยมปลาย เมื่อเรียนจบ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวคนเดิมที่มีเฟรนด์ชิปให้เพื่อนเขียนแล้ว แต่............ทำหาย
อุดมศึกษา ยังเรียนไม่จบ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวในรุ่นเดียวกันที่ยังเรียนไม่จบ และเริ่มเห็นว่าการมีเฟรนด์ชิปเป็นเรื่องเชยชะมัดยาด

อ่านอย่างนี้แล้ว คงต้องมีหลายคนรู้สึกว่าข้าพเจ้าช่างหยาบคายกับความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเป็นที่สุด ไม่แม้แต่จะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย อย่างเช่น เฟรนด์ชิป ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักฐานของการเดินทางของวันเวลา ที่เราไปบรรจบพบกับใครสักคน

เรื่องบางเรื่องมันเล็กน้อยและละเอียดอ่อนมากกว่าที่เราคิดไว้มาก

--------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเข้าตีเนียนร่วมสังสรรค์กับเพื่อนที่ลาดกระบัง เนื่องในโอกาสที่รุ่นเราต้องเลี้ยงรับน้องปี1 และคงเป็นงานสุดท้ายที่เราจะได้เป็นเจ้าภาพ โดยยังมีสถานภาพนักศึกษาของที่นี่อยู่

มีการให้รุ่นเรานำเสื้อนักศึกษามาให้น้องๆเขียน เหมือนเป็นการปัจฉิมนิเทศไปในตัว ข้าพเจ้าก็มีเสื้อกับเค้าด้วย มีคนแวะมาเขียนให้ก็มากมาย และตัวเองก็จำไม่ได้ว่าเขียนเสื้อให้ใครและเขียนอะไรไปบ้าง ภาพความทรงจำของข้าพเจ้ามีปัญหาเมื่อแอลกอฮอล์ออกฤทธิ์ แต่ทว่ามันยังคงซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้หายไปไหน

งานวันนั้นสนุกมาก ทุกคนก็สนุกสนานกันเต็มที่ เราใช้ช่วงเวลาที่มีด้วยกันอย่างคุ้มค่า ไม่มีใครออกอาการกลัวเหงา เมื่อถึงคราวที่ต้องห่างกัน --- นั่นเป็นเพียงการแสดงออกภายนอกเท่านั้น

ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายคนรู้สึกใจหาย แต่เพราะยังคงหายใจอยู่ จึงรู้และเข้าใจว่า ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเราได้ตลอดไป --- หากการเคียงข้างนั้นเป็นการวัดระยะทางแบบเวกเตอร์

แต่หากการเคียงข้างนั้นเป็นการวัดระยะทางด้วยความห่างของความสัมพันธ์ --- เราไม่เคยจะห่างกัน

งานจบลง เพื่อนจบไป เราไม่ได้จบกันเสียหน่อย

------------------------------------------------------------------------------------------------

ใน http://lexitron.nectec.or.th/ ดิกชันนารีออนไลน์ ให้นิยามของคำว่า friendship ไว้ว่า

friendship - N. - มิตรภาพ
Syn. :: camaraderie; companionship; fellowship
Example :: The flame in the Asian Games was a symbol of friendship among all Asian countries.

ไม่มีตรงไหนที่ระบุว่า friendship คือ ดินสอ สีไม้ สีเมจิก สีเทียน และสีต่างๆ ปากกาลูกลื่น ปากกาหมึกซึม ปากกาคอแร้ง ปากกาเจล และปากกาต่างๆ กระดาษขาว กระดาษสี กระดาษสา และกระดาษต่างๆ เสื้อนักเรียน เสื้อพละ เสื้อยืดคอกลม และเสื้อต่างๆ

มิตรภาพไม่ใช่วัตถุ สิ่งของ หรือถ้อยคำ

มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์และความรู้สึกล้วนๆ ต่างหาก




"สิสิร"


ปล. บล็อกที่แล้วที่เขียนเรื่องสั้นไว้ ขอแปะโป้งไว้ก่อนเน้อ





Tuesday, February 13, 2007

"กาลครั้งหนึ่ง...........ความรัก" --- ที่ตรงนี้

ฉันนั่ง ยืน เดิน นอน และหายใจอยู่ตรงนี้นานแล้ว บางทีมันนานเกินไปจนทำให้ก้นเกิดความรู้สึกชา และอาจมีปัญหาเป็นแผลกดทับตามมาภายหลังได้ ทว่า ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายหรือน้ำป่าไหลหลากทะลักทะล้นเข้ามาตอนนี้ ฉันก็ไม่สามารถลุกไปจากที่ตรงนี้ง่ายๆแน่นอน

ที่ตรงนี้คือที่ไหน --- ฉันยังสงสัยอยู่

เหลียวซ้ายแลขวามองหน้าหันหลัง ฉันไม่พบป้ายบอกชื่อของที่ตรงนี้ปรากฏอยู่ บางทีมันอาจซ่อนตัวอยู่ตรงไหนสักแห่งในบริเวณใกล้ๆ หรือไม่ก็มีคนจัญไรปลดป้ายออกไปแล้วกระทืบซ้ำตามประสาคนนิสัยระยำชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อน หรือไม่มันก็อาจไม่มีป้ายที่ว่านั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว

ที่ตรงนี้คือที่ไหน --- ฉันยังสงสัยอยู่

ผู้คนรอบกายที่อยู่ในขอบข่ายของสายตาฉัน บางคนคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอกันเมื่อชาติปางก่อน มันอาจจะนานเกินไป และได้หลุดหายไปจากความทรงจำ บางคนก็คุ้นหน้าหนักเข้าไปใหญ่ คาดว่าจะเกิดมาและเจอกันในชาติเดียวกันนี้ อาจนานสู้บางคนของบรรทัดบนไม่ได้ แต่ว่าไม่ได้ไปไหนจากความทรงจำ และบางคนก็คาดว่าไม่เคยพบกันมาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกคนดูจะไม่สนใจในการมีอยู่ของฉันเลย

ที่ตรงนี้คือที่ไหน --- ฉันยังสงสัยอยู่

และแล้วขาซ้ายของฉันเริ่มก้าว ตามด้วยเท้าขวาในไม่กี่อีกอึดใจ ฉันยังไม่รู้จุดหมายของการก้าวไปในครั้งนี้ แม้ไม่รู้อะไรเลยแต่ดูเหมือนว่าเท้าและขากำลังพาฉันก้าวเดิน ภายใต้อำนาจนอกเหนือการควบคุมของจิตใจ เหมือนว่ามีใครสักคนสั่งให้เดินโดยฉันไม่ได้ขัดขืน ไม่ฝืนใจ แต่ก็ไม่ได้เต็มใจ แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ ฉันก็ยังทำมันต่อไป แม้จะเกิดคำถามมากมายในหัวตอนนี้ แต่คำถามไหนก็ไม่เท่ากับคำถามเดิม ซึ่งเป็นคำถามแรก

ที่ตรงนี้คือที่ไหน --- ฉันยังสงสัยอยู่

ไม่มีสิ่งใดหยุดเคลื่อนไหว ณ ที่ตรงนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่เวลาจะทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ดูแล้วไม่มีที่ท่าว่าจะพักผ่อนสักวินาทีด้วยซ้ำ ฉันเป็นสิ่งหนึ่งและสิ่งเดียวที่หยุดเคลื่อนไหว หลังจากที่เดินมานานและพบว่าตัวเองเดินวนอยู่ตรงที่เก่า ไม่ได้หลุดพ้นไปไหนอย่างใครเค้าสักที ทันทีที่ฉันหยุดนิ่ง ทุกสิ่ง ณ ที่ตรงนี้ เปลี่ยนโหมดจากภาพความละเอียดชัดเจนเป็นความละเอียดต่ำถึงขั้นเลือนราง ทุกอย่างรอบตัวที่มัวเบลอส่งเสริมให้สิ่งหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา มันเป็นสิ่งหนึ่งและสิ่งเดียวที่ชัดเจน แตกต่างจากสิ่งรอบข้างที่เคียงกันอยู่ ฉันขยี้ตาสองสามทีก่อนเบิ่งมันขึ้นให้โตกว่าปกติ เพื่อมองป้ายขนาดใหญ่ตรงหน้าที่เดาเอาว่ามันไม่ใช่ป้ายบอกทาง เพราะไม่มีลูกศรชี้ไปทางไหนให้เดินตาม ตัวอักษรบนป้ายเล็กกว่าขนาดป้ายไม่เท่าไหร่ ทำให้ฉันเห็นคำที่เขียนอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน

"หลุมรัก"

ที่ตรงนี้คือที่ไหน --- ฉันเริ่มคลายความสงสัย และยังไม่ได้ตัดสินใจจะเดินต่อไปที่อื่นแต่อย่างใด


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


"สิสิร"

Tuesday, February 6, 2007

ขอขอบคุณ ท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน

วันหนึ่งวันใดสักวันในช่วงใกล้สิ้นปี มันเป็นวันที่ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะทำ แต่จะว่าไปควร ใช้คำว่าไม่ยอมทำอะไรมากกว่า การนั่งล่องลอยปล่อยขาซ้ายกระดิกเล่นๆตามจังหวะ เพลงในเครื่องเล่นเอ็มพีสามอย่างนั้น อยู่ในร้านกาแฟชื่อดังที่ข้าพเจ้าเป็นขาประจำ เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมที่สุดแล้วในวันที่ข้าพเจ้า(ทำตัวว่างอย่างนี้

ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินถือแก้วกาแฟมานั่งที่โต๊ะส่วนตัว(ที่สถาปนาเอาเอง) ความซุ่มซ่ามบวกกับความไม่สำรวมในกาย ทำให้เดินไปชนพนักงานคนหนึ่งเข้าอย่างจัง จึงเอ่ย ขอโทษเขาไปหนึ่งครั้ง ข้าพเจ้าเริ่มไม่ว่าง(จริงๆ) เมื่อเสี้ยววินาทีนั้น ข้าพเจ้าคิดอะไรได้ หนึ่งอย่าง คำถามในวัน(แสร้ง)ว่างจึงเกิดขึ้น

‘ใน1 ปี คำที่เราใช้บ่อยจนจำขึ้นใจได้คือคำไหนหนอ?’

คำตอบของคำถาม คือคำว่า “ขอโทษ”

และจากการคำนวณโดยประมาณการณ์น่าจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3000ครั้งต่อปี เฉลี่ยแล้ว ตกวันละ 8 ครั้ง กับอีกนิดหน่อย นับเป็นตัวเลขที่ถือว่ามากแล้ว หากนับเป็นความรู้สึกผิด นั่นคงมากกว่าหลายเท่า และอาจนับจำนวนไม่ได้

ทุกคำขอโทษ กลั่นออกมาจากความรู้สึกไม่ใช่ว่าเป็นข้ออ้างลบล้างความผิดของตัวเอง ถึงมันจะบ่อยไปหน่อย แต่คงดีกว่าไม่สำนึกแล้วเงียบปากไว้

‘แล้วใน 1 ปี คำที่เราไม่ค่อยปล่อยให้หลุดจากปากคือคำไหนล่ะ’ --- มีคำตอบเป็นร้อย

แต่ข้าพเจ้าเลือกคำตอบเดียว คือคำว่า “ขอบคุณ”

และจากการคำนวณโดยประมาณการณ์อีกครั้ง ข้าพเจ้าเอ่ยคำขอบคุณไม่ถึง 20 ครั้งต่อปี เฉลี่ยแล้วก็ตกเดือนละครั้ง กับอีกนิดหน่อย นับเป็นตัวเลขที่น้อยมาก แต่หากนับเป็นความรู้สึก ซาบซึ้งล่ะก็ จะแปรผกผันกันจนนับจำนวนไม่ได้เลยทีเดียวแม้เป็นคำที่ไม่เอ่ย แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก

บางทีคนเราก็ไม่เห็นว่าจะต้องแสดงออกทุกสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป และบางครั้งการแสดงออกที่ดีมันก็จำเป็น – มันเป็นสองสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติแบบไม่สมดุล

ถือเป็นนิสัยส่วนแย่ที่แก้ไม่หายมานาน -- และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปรับปรุง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม...
ทุกมือที่เคยฉุดขึ้นมาตอนข้าพเจ้าเมา หรือล้มพลาดและไม่เคยใช้เท้ากระทืบซ้ำ
ทุกเสียงที่เรียก เตือน กร่นด่า หรือว่าชื่นชม ในกิริยาที่ข้าพเจ้าทำ
ทุกเตียงนอนที่เคยหลับฝันด้วยกัน แต่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการนอน
ทุกแชทที่เคยเถียง เคยต่อกลอน เคยแซว เคยปรึกษา เรื่องอย่างว่าและเรื่องธรรมดาทั่วไป
ทุกเส้นทางที่เดินร่วมกันมา ต่อให้ขรุขระ ลำบาก แค่ไหน ก็ยังเดินอยู่ได้
ทุกช่วงเวลาที่ควรค่าแห่งการใช้ว่า ดี ต่อท้าย และยังไม่พบว่ามีคำไหนจะแทรกมาแทนที่
ทุกอย่างจากทุกคน
ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจ และ

“ขอบคุณ”





"สิสิร"


เป็นธรรมเนียม คงต้องฝากบทกลอนก่อนจบบล็อกวันนี้
" สวัสดีปีใหม่ ช้าไปหน่อย
ว่างไม่บ่อย เลยไม่ค่อย ได้ส่งข่าว
ยังคิดถึง เธอทุกคน อยู่ทุกคราว
โดนระเบิด บ้างหรือเปล่า หลบให้ดี
ปีค.ศ. สองศูนย์ และศูนย์เจ็ด
ให้ทุกอย่าง จงสำเร็จ เสร็จสุขขี
สุขภาพแข็งแรง ตลอดปี
ฉี่หรือขี้ สบายรู ยู้ฮูเฮ"

Saturday, January 20, 2007

ชอบจริงเหรอ?

จากวันที่ 27 พ.ย. 2549 จนถึงวันที่ 19 ม.ค. 2550 นับรวมได้เป็นเวลา 80 วันพอดิบพอดีที่ข้าพเจ้าไม่ได้แวะเวียนมาเขียนบล็อกเลย
เหตุมันมีอยู่ว่า......................

หลังจาก วันที่ 27 พ.ย. 2549 1 อาทิตย์ ข้าพเจ้าเขียนหนังสือไม่ได้เลยสักวันทั้งๆที่โดยปกติแล้ว จะเขียนได้ในทุกวัน --- มีบางอย่างผิดปกติ

นั่นคือ --- ความคิดของข้าพเจ้าที่มีต่อการเขียนหนังสือ "เราอาจจะเขียนหนังสือไม่ได้จริงว่ะ"

เมื่อเราเริ่มเกิดข้อกังขากับสิ่งที่ทำอยู่ มีความเป็นไปได้สูงว่า เราเกิดความหวั่นไหว ไม่มั่นใจกับสิ่งนั้นที่ทำอยู่

"เราชอบเขียนหนังสือจริงๆเหรอ?" เป็นความหวั่นไหวในใจที่ข้าพเจ้าเกิดสงสัยตามมาเสียอย่างนั้น

ข้าพเจ้าจึงหยุดเขียนบล็อก และใช้ชีวิตโดยไร้การเขียนหนังสือที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน แล้วเอาเวลาส่วนนั้นไปทำสิ่งอื่น
ในขณะที่ช่วงเวลาของการเขียนหนังสือหายไป ปรากฏว่า ข้าพเจ้าใช้ชีวิตได้ปกติมาก ไม่หื่นกระหาย เซี่ยนใกล้ลงแดงตาย โหยไห้ถึงการเขียนหนังสือ
หรือว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ชอบการเขียนหนังสือจริงๆด้วย -- นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังไม่ใช่คำตอบ

เข็มของนาฬิกาที่ถ่านยังไม่หมด เดินไปเรื่อยๆตามที่ควรจะเป็น พร้อมๆกับตารางปฏิทินที่เลื่อนไปเรื่อยๆ ตามที่โลกหมุนเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวัน
สลับกันไปอย่างนั้น ไม่มีวันหยุดพักผ่อน ข้าพเจ้าเองได้หยุดพักผ่อนบ้าง หยุดเดินบ้าง และยังหยุดเขียนหนังสือเหมือนเดิมด้วย เป็นมาอย่างนี้เรื่อยๆ
จนถึงเมื่อวานและข้ามผ่านมาสู่วันนี้

เมื่อเวลา 18.06 น. ของวันนี้ ข้าพเจ้าเกิดครึ้มหยิบสมุดและดินสอ ขึ้นมาจากกระเป๋าใบเก่าที่ไม่ได้แตะเลยมาเป็นเวลา 80 วัน
ความรู้สึกตอนที่ข้าพเจ้าหยิบสมุดคู่กาย หยิบดินสอคู่ใจขึ้นมา มันไม่ต่างจากวันที่วางทั้งสองอย่างนั้นไว้เฉยๆ และไม่ต่างจากก่อนหน้านั้น
ที่หยิบมันขึ้นมาทุกวันเพื่อเขียนหนังสือ เคยได้ยินว่า หากเราห่างหายจากสิ่งไหนไป เมื่อกลับมาหาใหม่ด้วยความคิดถึง หรือว่ากลับมาพบอีกครั้ง
แล้วรู้สึกได้ว่า คิดถึง นั่นหมายความว่าสิ่งนั้นสำคัญสำหรับเรา เรารู้สึกดีกับสิ่งนั้น หรือพูดให้ง่ายเข้าคือ เราชอบสิ่งนั้นนั่นเอง แต่อย่างที่ข้าพเจ้าบอก
ไม่มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะลองหยุด ห่างหายไปจากการเขียนหนังสือ หรือว่าจะกลับมาเขียนใหม่ ทุกอย่างเหมือนเดิม ข้าพเจ้ายังไม่ตาย
และไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากมายกับการจากไปหรือการกลับมา
หรือว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ชอบการเขียนหนังสือจริงๆด้วย -- มันยังคงเป็นข้อสันนิษฐาน ไม่ใช่คำตอบ

มีบางอย่างสะกิดใจให้ข้าพเจ้าย้อนคิดไปถึงเรื่องในวันวาน บางทีคำตอบของข้าพเจ้าวันนี้น่าจะเป็นคำตอบเดียวกันกับเรื่องวันนั้น

- เมื่อ 6 ปีก่อน จากที่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน ข้าพเจ้าเลิกอ่านหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 3 เดือน เพียงเพราะพ่อถามว่า ชอบอ่านหนังสือพิมพ์เหรอ
แล้วข้าพเจ้าตอบพ่อไปว่า ไม่รู้สิ 3 เดือนนั้น ข้าพเจ้ากินข้าวได้ตามปกติ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนิดหน่อย หายใจได้สะดวก ผลการเรียนไม่ตกลงแต่ก็ไม่เพิ่มขึ้น
ชีวิตประจำวันก็ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากโทรทัศน์แทนที่การอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วอยู่ๆในวันที่เป็นวันแรกของเดือนที่4 พ่อก็เดินถือหนังสือพิมพ์มาวาง
อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า มือไม้ก็ไม่ได้สั่นไหว หัวใจก็ไม่ได้เต้นแรงขึ้น ลมหายใจก็สูดเข้าออกปกติดี มีเพียงสายตาที่ทำงานผิดปกติหน่อย เพราะว่าต้องเพ่งอย่างหนัก เพื่ออ่านพาดหัวข่าวที่อยู่ไกลๆ จนทนปวดตาไม่ไหว เลยยื่นมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาอ่าน -- ด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้โหยหาเมื่อห่างหาย

แต่หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน เป็นเวลา 6 ปีแล้ว

- เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว จากที่นั่งร้านกาแฟทุกวัน ข้าพเจ้าเลิกนั่งร้านกาแฟเป็นเวลาเกือบเดือน เพียงเพราะพนักงานถามว่า ชอบนั่งร้านกาแฟเหรอคะ
แล้วข้าพเจ้าตอบเธอว่า ไม่รู้สิ ในช่วงเวลาเกือบเดือนนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เฉียดผ่านร้านกาแฟน่านั่งร้านไหน และไม่ได้ร้องโวยวายเหมือนเด็กจะเอาของเล่น
เมื่อเห็นร้านกาแฟร้านประจำแล้วไม่ได้เข้าไป แล้วอยู่ๆเพื่อนข้าพเจ้าก็โทรมานัดพบ สถานที่คือ ร้านกาแฟร้านนั้น ร้านประจำที่ข้าพเจ้าไม่ยอมแวะเวียน
พนักงานหน้าเดิมๆ ข้าพเจ้าสั่งกาแฟแบบเดิมๆ และก้าวเท้าไปอย่างเชื่องช้าไปนั่งตรงที่นั่งเดิมๆที่ว่างอยู่ -- ด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้โหยหาเมื่อห่างหาย

และหลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็นั่งดื่มกาแฟที่ร้านนี้เกือบทุกวัน

สิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่ทุกวี่วัน หรือบางวันก็ปล่อยปละละเลยมันไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่กลับไปหาก็ยังพบว่าสถานภาพที่มีต่อกันยังดีอยู่

จะว่าไปการกระทำของคนเราเลือกจะทำส่วนใหญ่มักมีพื้นฐานมาจากความชอบ


ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพิมพ์แล้วมีความสุข
ข้าพเจ้านั่งในร้านกาแฟร้านนั้นแล้วมีความสุข
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือแล้วมีความสุข

และความสุขนั้นก็ยังคงอยู่ โดยไม่ต้องขวนขวายหาว่ามันหายไปไหน เมื่อไม่ได้ทำ

ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือพิมพ์
ข้าพเจ้าชอบนั่งในร้านกาแฟร้านนั้น
ข้าพเจ้าชอบเขียนหนังสือ

และไม่มีอะไรต้องสงสัยให้หวั่นไหวอีกต่อไป ในการกระทำและความรู้สึกของตัวเอง









"สิสิร"