Monday, November 27, 2006

เรารู้จักกัน?

ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติปีนี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง ถึง 2 วัน เพื่อแบ่งสรร ปันส่วนแรง
ในการทยอยค่อยๆนำหนังสือกลับบ้าน -- โดยแอบแม่อย่างแนบเนียน

มีหนังสืออยู่หนึ่งเล่ม หลบไม่พ้นสายตาแม่ และแน่นอน เดือดร้อนถึงเล่มอื่นๆ
ที่ต้องปรากฏออกมา รายงานตัวตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาการ -- ของบ้าน

ข้าพเจ้าลงโทษหนังสือเจ้ากรรมเล่มนั้นด้วยการเว้นวรรคทางการอ่านมัน 1 เดือน
จากที่ตั้งกำหนดการเอาไว้ ว่าจะอ่านเป็นเล่มแรก

หลังจากหนังสือเล่มนั้นพ้นโทษ ข้าพเจ้าหยิบมันมาอ่าน และพบว่า น่าจะโทษตัวเอง
ใยจึงได้โยนบาปใส่แพะ และควรขอโทษมันทุกวันต่อจากนี้ อีก 1 เดือน

แอบเสียใจไม่ให้แม่เห็น -- คราวนี้รอดสายตาแม่ได้อย่างหวุดหวิด

"สองเงาในเกาหลี" คือ หนังสือเล่มที่กล่าวถึง
ข้าพเจ้ายินดีจะกล่าวขออภัยแพะไว้ ณ ที่นี้

แล้วคุณ รู้จักหนังสือเล่มนี้ไหม?

เพื่อเป็นการไม่ทำลายอรรถรสในการรับรู้ของท่าน ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องย่อให้ทราบ
อย่างละมุนละม่อม และจะไม่ยอมทำร้ายจินตนาการของใคร ที่ยังไม่ได้อ่าน

"สองเงาในเกาหลี" เป็นเรื่องราวของ บุคคลสัญชาติไทยชาย 1 หญิง 1
ซึ่งมาพบกันและร่วมเดินทางด้วยกันเป็นเวลาหลายวันในเกาหลี
ที่สำคัญคือ ก่อนหน้านั้น เขาและเธอ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ย่อพอมั้ยล่ะ?

ในระหว่างการเดินทาง ทั้งผู้เขียนและข้าพเจ้าก็ต่างสงสัยในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น

สิ่งที่เป็นและเห็นอยู่นั้น เรียกว่า รู้จักกันหรือยัง

คนที่เราเดินด้วยทุกวัน แต่ไม่เคยรู้ว่าบ้านเค้าอยู่ไหน
กินข้าวด้วยทุกวัน แต่ไม่เคยถามสักคำว่าทำงานอะไร
แลกเปลี่ยนทัศนคติกันบ่อยครั้ง แต่ยังไม่เคยรู้เลยว่าเค้าเป็นใคร

นั่นสิ แล้วอะไร ถึงจะบอกได้ว่าเรารู้จักกัน

ข้าพเจ้าชอบความรู้สึกสงสัยในความสัมพันธ์นี้มาก เพราะหากจะว่าไป
ข้าพเจ้ากับพี่ก้อง(ผู้เขียน) ก็เคยพบปะทักทายกัน

แล้วนั่น หมายถึงเรารู้จักกันแล้วหรือ?

ถ้าข้าพเจ้าเล่าเรื่องในหนังสือตอนจบ จะมีใครวิ่งมาตบ ถีบ อัด
หรือยัดเยียดความเป็นสามีให้หรือเปล่า -- ถ้ามีประเด็นหลัง จะรีบเล่า

เล่าดีกว่า -- สุดท้ายผู้เขียนก็เลิกสงสัยในระดับความสัมพันธ์ของเขาและพิณ
เพราะไม่รู้จะสงสัยไปทำไม เรื่องบางเรื่อง คำตอบจะมาไม่ตรงกับเวลาของคำถาม

ในขณะที่ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่

หลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามักจะนำเอาคำว่า "คนรู้จัก" มาใช้ในกรณี
นำมานิยาม ผู้คนที่ค่อนข้างอยู่ในระดับความสัมพันธ์ที่ผิวเผินบ้าง ห่างเหินบ้าง
หมางเมินบ้าง และไม่อยากจะเสวนาด้วยบ้าง จึงเรียกใช้บริการของคำนี้
เพื่อเป็นการให้เกียรติ(เพียงน้อย) กับบุคคลที่ถูกนิยามนั้น

ความสำคัญของคำว่า "คนรู้จัก" ของข้าพเจ้า(ก่อนหน้านี้) เล็กน้อยเหลือเกิน

แม้ข้าพเจ้าจะไม่ใช่พจนานุกรม แต่ก็อยากใช้คำให้มีความหมายที่ควรบ้าง
หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดใหม่ทำใหม่(ในตอนนี้) กับคำว่า "คนรู้จัก"

บางที"คนรู้จัก"ของข้าพเจ้า ควรเป็นคนที่ชิดเชื้อมากกว่าเป็นคนที่ไม่อยากนับเชื้อ
เพราะอย่างน้อยๆก็เชื่อใจได้ว่า รู้เช่นเห็นชาติกันมาบ้าง ไม่ใช่แค่เดินผ่าน มองหน้ากัน
พอมีคนถามถึงความสัมพันธ์ ก็บอกเขาว่า คนนี้ฉันรู้จักนะ

แต่ว่า "คนรู้จัก" ที่สนิทสนมกันมาก -- เรารู้จักกันจริงหรือเปล่า

อ้าว.....ข้าพเจ้าชักงง นี่สงสัยมากไปหรือเปล่า

ว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ดำเนินรอยตามพี่ก้องมาติดๆ ด้วยการเลิกสงสัย
และเห็นด้วยว่าไปๆมาๆ มันชักไม่เกิดประโยชน์อะไร มากไปกว่า ปวดหัว

เพราะไม่ว่า ใครจะรู้จักใคร ผิวเผิน ตื้นเขิน ลึกซึ้ง มากน้อย หรือไม่นั้น
ข้าพเจ้าว่าการเรียนรู้ผู้อื่น (ในระดับต่างๆ) เป็นประสบการณ์ที่ดี
อาจมีผลทำให้เรามองเห็นตัวเองได้มากขึ้น -- เท่ากับได้เรียนรู้ตัวเองไปด้วย

จะรู้จักกันจริงๆ หรือรู้จักกันหลอกๆ -- ก็คงดีว่า ไม่รู้จักอะไรเลย


คำถามสุดท้าย


เรา "รู้จักกัน" จริงๆ แล้วหรือยัง




"สิสิร"




*พิเศษ บทกลอนกล่าวขอโทษ "สองเงาในเกาหลี"

"เมื่อแรกพบ สบตา ว่าเกาหลี
ฉันเปรมปรีดิ์ ยินดี รีบซื้อหา
แต่แม่ดัน มาเจอเข้า ตายละวา
โดนแม่ด่า เลยโทษเธอ เข้าเต็มเปา
คนที่ผิด คือฉัน ที่ซื่อบื้อ
เสือกยืนถือ ให้แม่เห็น เต็มสองเบ้า
กล่าวหาเธอ ว่าเล่มใหญ่ หนักไม่เบา
ทั้งที่เรา ยังไม่เริ่ม รู้จักกัน
พอได้อ่าน ก็รู้ ฉันคิดผิด
วิปริต ตัวเองช่างโง่เขลา
ต้องขอโทษ โปรดอภัย ให้แก่เรา
โอ้ว "สองเงาในเกาหลี" ดีกันเทอญ"

Thursday, November 23, 2006

แค่? มือถือหาย

วันนี้ครบรอบ 1 สัปดาห์ ที่ข้าพเจ้าทำบางอย่างอันไม่เพียงแต่เป็นสิ่งของ -- หายไป

ในคืนนั้น ทุกคนอยู่ในสภาพเมามาย --- แต่พอดี

ยังมีหญิงขาดสติ มีสตังค์ พร้อมร่าง หากไร้สิ้นด้วยวิญญาณ
กำลังถูกชาย 4 หญิง 3 หามไปส่งที่รถ เพื่อนำเธอกลับสู่ที่พำนัก

และฟ้ารุ่งสาง กับอาการจุกที่กระเพาะปัสสาวะ ก็ปรากฏตัวพร้อมในเวลาเดียวกัน
เธอตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่า "มือถือหายไป"

ข้าพเจ้าจำเรื่องราวในคืนนั้นไม่ได้สักเท่าไหร่ มีเพียงคำทักทายของเพื่อน
ในยามพบเจอกันในวันรุ่ง ที่ทำให้รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
-- บางทีมันไม่ใช่แค่เหตุการณ์ แต่ควรเรียกว่าวิกฤติการณ์
"ทวารทั้ง 5 ของมึงถูกเปิดเหรอวะ?"
"กูว่ากูเล่นบาสทุกวัน ว่าตัวเองแข็งแรงแล้วนะ แพ้น้ำหนักมึงจริงๆ"
"อีติ๊ก เมื่อคืนมึงกินเหล้าทั้งงานหรืองัย"
"......"(ไม่มีภาษาพูดเอ่ยขึ้น แต่ภาษากายทำหน้าที่อย่างดีด้วยการส่ายหน้าไปมา) ฯลฯ
ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบคำถามเป็นพิเศษกับใคร พูดแต่เพียงว่า "มือถือกูหายว่ะ"
ด้วยอาการเศร้าสร้อย อย่างเห็นได้ชัด และไม่คิดจะปกปิดแม้เพียงน้อย

ไม่มีใครตอบได้ว่า มือถือข้าพเจ้าหายไปไหน

เรา -- หมายถึงเพื่อนผู้หวังดีและตัวข้าพเจ้าเอง ออกตามหาอยู่นานสองนาน
ไม่มีการปรากฏตัวของเจ้ามือถือนั่นเลย ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีการสั่น มันคงเดินเองไม่ได้
คาดว่าจะมีคนเดินมาเอามันไป -- และเอาไปไหน ข้าพเจ้าไม่รู้

ประสบการณ์ของหายบ่อย บอกข้าพเจ้าว่า ควรทำใจ
แต่หัวใจของข้าพเจ้าสวนกลับทันควันว่า ไม่ใช่ตอนนี้

มือถือที่หายไป มีเงินข้าพเจ้าใช้หยาดเหงื่อแรงงานแลกมา แล้วเอาไปแลกเป็นมันมาอีกที
มือถือที่หายไป มีเบอร์โทรศัพท์หลายร้อยเบอร์ ซึ่งแสนจะภาคภูมิใจว่ามีปริมาณล้นเหลือ
กว่ามือถือเครื่องไหนๆ
มือถือที่หายไป มีsmsของชาคริต(นามสมมติ)และวชิรา(นามจริงแท้) ซึ่งหายากกว่านักการเมืองไม่โกงกินสมัยนี้อีก

นี่ข้าพเจ้ากำลังเสียดายอะไรอยู่?

ความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ความมึนเมาที่เพิ่งสร่างและจางหาย -- หลังจากมือถือหาย
ข้าพเจ้าคร่ำครวญ(อยู่คนเดียว) ว่า "ไม่น่าเลยกู" ดูเหมือนจะเปล่งเสียงออกมามากไม่ได้
เพราะคาดว่าจะมีเสียงสาปส่ง (ประมาณ 6 เสียง) ลอยมา ว่า สมควร(แล้วมึง)

สายตาที่เหม่อลอยรอคอยการกลับมาของมือถือน้อยๆ น้ำตาเอ่อพร่ามัวเห็นสิ่งตรงหน้า
เป็นเรื่องราวของเรา --- ข้าพเจ้าและมือถือ -- เมื่อวันวาน

ยามอาบน้ำ มันแอบมองข้าพเจ้าแก้ผ้าอยู่ที่หน้ากระจก -- มือถืออะไร ลามกจกเปรต
ยามกินข้าว มันชะเง้อมองจานข้าว ข้าพเจ้าแอบเห็นมันถุยน้ำลายลงไปบ้าง -- ด้วยความหมั่นไส้
ยามนอนหลับ มันกระส่ายกระสับ สั่นตัวอยู่บ่อยๆ คล้ายจะบอกว่าหนาว -- ช่วยรับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มด้วย
ยามหน้าหมู่บ้านสินธร เป็นพยานได้ว่าเราสนิทกันแนบเนื้อแนบหน้า ให้เขาเห็นอยู่บ่อย -- เมื่อเดินผ่าน

แต่ยามนี้ เราแยกกันอยู่ -- และน่าจะเป็นการแยกจากกัน ไม่มีวันพบอีกแล้ว

เบอร์ในเครื่องที่สะสมไว้ก็หายไปด้วย

ข้าพเจ้าอาจจะฟูมฟาย โวยวาย ร่ำไห้มากกว่านี้ หากหลังจากมือถือหาย 2 วันนั้น
ไม่เจอพี่เบญเสียก่อน

พี่เบญไม่ได้เก็บมือถือข้าพเจ้าไป แล้วเพิ่งเอามาคืน

แต่พี่เบญเป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนร่วมสถาบันเดียวกันเป็นเวลา 1 ปี
พี่เบญดูแลข้าพเจ้าในฐานะน้อง ไม่ใช่รุ่นน้อง คอยเป็นห่วงเป็นใย
ถามไถ่ความเป็นไปตลอดมา เคยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ถึงจะไม่เคยให้ยืมเงิน
แค่นี้ข้าพเจ้าก็มีความทรงจำที่ดีต่อพี่เบญมากแล้ว

เรามีระยะห่างที่ดีระหว่างกันอยู่เสมอ -- ไม่สนิทกัน แต่สนิทใจ

ไม่เจอกันหลายปี พี่เบญยังหน้าเด็กเหมือนเดิม ในขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มเหี่ยวยาน
หรือความโอบอ้อม อารี ใจดี ของพี่เบญนั้น ช่วงดึงหน้า ดึงวัย ให้เธอได้ -- ข้าพเจ้าไม่ฟันธง

ไม่ใช่แค่หน้าตาที่เหมือนเดิม รอยยิ้มของพี่เบญ ก็ยังสดใส เห็นแล้วรู้สึกสนิทใจเหมือนเดิมด้วย
เราทักทายกันเพียงไม่กี่คำ พี่เบญก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์

แว้บนั้น ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ทันที -- ตั้งแต่รู้จักกันมา ข้าพเจ้าไม่เคยมีเบอร์พี่เบญเลย

ไม่เคยขอ ไม่เคยอยากได้ และไม่เคยมี แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เรายังยิ้มทักทายกัน
(อย่างสนิทใจ)ได้ ทั้งๆที่ไม่พบกันเสียนานและไม่เคยติดต่อกันทางโทรศัพท์สักที

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นหัวใจกันแน่ ที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์ของเรา

ถ้าข้าพเจ้าไม่มีเบอร์ใครในเครื่องเลย ข้าพเจ้าจะลืมเขาเพียงเพราะติดต่อไม่ได้หรือเปล่า
-- ไม่นี่หน่า
สิ่งที่จำได้ ระลึกนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง คือความสัมพันธ์อันดีที่ก่อตัวขึ้น จนถึงขั้นแลกเบอร์
-- ข้าพเจ้าไม่เคยจำเบอร์ของใครได้เลย

หลังจากการพบพี่เบญแล้ว ข้าพเจ้ากลับมานั่งออนไลน์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์
แชทคุยกับน้องชายคนนึง มือและนิ้วก็พิมพ์โวยวายว่าเสียดายมือถือโว้ย อย่างนู้นอย่างนี้

น้องชายคนนั้นบอกว่า "ไม่มีมือถือไม่เห็นเป็นไรนี่พี่ แต่ก่อน ผมก็ไม่เห็นใครเค้าจะมีกัน"
ข้าพเจ้าตอบเสียงสั่น(ซึ่งน้องเค้าไม่ได้ยิน) ว่า "มึงไม่เข้าใจหรอก กูผูกพันกับมันมาก"
ความจริงข้าพเจ้าตั้งใจจะพิมพ์ต่อว่า
"แต่เอาเข้าจริงๆ กูรู้แล้วว่าตัวเองผูกพันกับอะไร มันไม่ใช่แค่มือถือหรอก"
แต่ไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไป เพราะว่า.........ขี้เกียจพิมพ์

อย่างที่บอกไปตั้งแต่บรรทัดแรกแล้วว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 สัปดาห์ที่มือถือข้าพเจ้าหาย
จะไม่กล่าวอำลา สดุดีต่อเพื่อนเคียงกาย ที่จากไป ก็กระไรอยู่ ข้าพเจ้าจึงแต่งกลอนให้แก่
โนเกีย 7270 ที่รัก เครื่องนั้น ดังนี้

"เมื่อเครื่องหาย เบอร์หาย ก็ใจหาย
เคยเคียงข้าง แนบคู่กาย ใกล้ใบหน้า
1 ปีกว่า เราอยู่ สู้กันมา
ใช้รับสาย และโทรหา เมื่อต้องการ
ทั้งคลิป รูปถ่าย หายสาปสูญ
แสนอาดูร อาลัย วันแสนหวาน
ที่สำคัญ สิ่งหนึ่งทำ ฉันร้าวราน
คือแมจเสจ ชาคริต อันตรธาน ไม่กลับมา"

ก็บอกแล้วไง ว่าของมันหายาก -- จริงๆ




"สิสิร"