Thursday, November 23, 2006

แค่? มือถือหาย

วันนี้ครบรอบ 1 สัปดาห์ ที่ข้าพเจ้าทำบางอย่างอันไม่เพียงแต่เป็นสิ่งของ -- หายไป

ในคืนนั้น ทุกคนอยู่ในสภาพเมามาย --- แต่พอดี

ยังมีหญิงขาดสติ มีสตังค์ พร้อมร่าง หากไร้สิ้นด้วยวิญญาณ
กำลังถูกชาย 4 หญิง 3 หามไปส่งที่รถ เพื่อนำเธอกลับสู่ที่พำนัก

และฟ้ารุ่งสาง กับอาการจุกที่กระเพาะปัสสาวะ ก็ปรากฏตัวพร้อมในเวลาเดียวกัน
เธอตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่า "มือถือหายไป"

ข้าพเจ้าจำเรื่องราวในคืนนั้นไม่ได้สักเท่าไหร่ มีเพียงคำทักทายของเพื่อน
ในยามพบเจอกันในวันรุ่ง ที่ทำให้รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
-- บางทีมันไม่ใช่แค่เหตุการณ์ แต่ควรเรียกว่าวิกฤติการณ์
"ทวารทั้ง 5 ของมึงถูกเปิดเหรอวะ?"
"กูว่ากูเล่นบาสทุกวัน ว่าตัวเองแข็งแรงแล้วนะ แพ้น้ำหนักมึงจริงๆ"
"อีติ๊ก เมื่อคืนมึงกินเหล้าทั้งงานหรืองัย"
"......"(ไม่มีภาษาพูดเอ่ยขึ้น แต่ภาษากายทำหน้าที่อย่างดีด้วยการส่ายหน้าไปมา) ฯลฯ
ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบคำถามเป็นพิเศษกับใคร พูดแต่เพียงว่า "มือถือกูหายว่ะ"
ด้วยอาการเศร้าสร้อย อย่างเห็นได้ชัด และไม่คิดจะปกปิดแม้เพียงน้อย

ไม่มีใครตอบได้ว่า มือถือข้าพเจ้าหายไปไหน

เรา -- หมายถึงเพื่อนผู้หวังดีและตัวข้าพเจ้าเอง ออกตามหาอยู่นานสองนาน
ไม่มีการปรากฏตัวของเจ้ามือถือนั่นเลย ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีการสั่น มันคงเดินเองไม่ได้
คาดว่าจะมีคนเดินมาเอามันไป -- และเอาไปไหน ข้าพเจ้าไม่รู้

ประสบการณ์ของหายบ่อย บอกข้าพเจ้าว่า ควรทำใจ
แต่หัวใจของข้าพเจ้าสวนกลับทันควันว่า ไม่ใช่ตอนนี้

มือถือที่หายไป มีเงินข้าพเจ้าใช้หยาดเหงื่อแรงงานแลกมา แล้วเอาไปแลกเป็นมันมาอีกที
มือถือที่หายไป มีเบอร์โทรศัพท์หลายร้อยเบอร์ ซึ่งแสนจะภาคภูมิใจว่ามีปริมาณล้นเหลือ
กว่ามือถือเครื่องไหนๆ
มือถือที่หายไป มีsmsของชาคริต(นามสมมติ)และวชิรา(นามจริงแท้) ซึ่งหายากกว่านักการเมืองไม่โกงกินสมัยนี้อีก

นี่ข้าพเจ้ากำลังเสียดายอะไรอยู่?

ความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ความมึนเมาที่เพิ่งสร่างและจางหาย -- หลังจากมือถือหาย
ข้าพเจ้าคร่ำครวญ(อยู่คนเดียว) ว่า "ไม่น่าเลยกู" ดูเหมือนจะเปล่งเสียงออกมามากไม่ได้
เพราะคาดว่าจะมีเสียงสาปส่ง (ประมาณ 6 เสียง) ลอยมา ว่า สมควร(แล้วมึง)

สายตาที่เหม่อลอยรอคอยการกลับมาของมือถือน้อยๆ น้ำตาเอ่อพร่ามัวเห็นสิ่งตรงหน้า
เป็นเรื่องราวของเรา --- ข้าพเจ้าและมือถือ -- เมื่อวันวาน

ยามอาบน้ำ มันแอบมองข้าพเจ้าแก้ผ้าอยู่ที่หน้ากระจก -- มือถืออะไร ลามกจกเปรต
ยามกินข้าว มันชะเง้อมองจานข้าว ข้าพเจ้าแอบเห็นมันถุยน้ำลายลงไปบ้าง -- ด้วยความหมั่นไส้
ยามนอนหลับ มันกระส่ายกระสับ สั่นตัวอยู่บ่อยๆ คล้ายจะบอกว่าหนาว -- ช่วยรับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มด้วย
ยามหน้าหมู่บ้านสินธร เป็นพยานได้ว่าเราสนิทกันแนบเนื้อแนบหน้า ให้เขาเห็นอยู่บ่อย -- เมื่อเดินผ่าน

แต่ยามนี้ เราแยกกันอยู่ -- และน่าจะเป็นการแยกจากกัน ไม่มีวันพบอีกแล้ว

เบอร์ในเครื่องที่สะสมไว้ก็หายไปด้วย

ข้าพเจ้าอาจจะฟูมฟาย โวยวาย ร่ำไห้มากกว่านี้ หากหลังจากมือถือหาย 2 วันนั้น
ไม่เจอพี่เบญเสียก่อน

พี่เบญไม่ได้เก็บมือถือข้าพเจ้าไป แล้วเพิ่งเอามาคืน

แต่พี่เบญเป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนร่วมสถาบันเดียวกันเป็นเวลา 1 ปี
พี่เบญดูแลข้าพเจ้าในฐานะน้อง ไม่ใช่รุ่นน้อง คอยเป็นห่วงเป็นใย
ถามไถ่ความเป็นไปตลอดมา เคยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ถึงจะไม่เคยให้ยืมเงิน
แค่นี้ข้าพเจ้าก็มีความทรงจำที่ดีต่อพี่เบญมากแล้ว

เรามีระยะห่างที่ดีระหว่างกันอยู่เสมอ -- ไม่สนิทกัน แต่สนิทใจ

ไม่เจอกันหลายปี พี่เบญยังหน้าเด็กเหมือนเดิม ในขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มเหี่ยวยาน
หรือความโอบอ้อม อารี ใจดี ของพี่เบญนั้น ช่วงดึงหน้า ดึงวัย ให้เธอได้ -- ข้าพเจ้าไม่ฟันธง

ไม่ใช่แค่หน้าตาที่เหมือนเดิม รอยยิ้มของพี่เบญ ก็ยังสดใส เห็นแล้วรู้สึกสนิทใจเหมือนเดิมด้วย
เราทักทายกันเพียงไม่กี่คำ พี่เบญก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์

แว้บนั้น ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ทันที -- ตั้งแต่รู้จักกันมา ข้าพเจ้าไม่เคยมีเบอร์พี่เบญเลย

ไม่เคยขอ ไม่เคยอยากได้ และไม่เคยมี แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เรายังยิ้มทักทายกัน
(อย่างสนิทใจ)ได้ ทั้งๆที่ไม่พบกันเสียนานและไม่เคยติดต่อกันทางโทรศัพท์สักที

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นหัวใจกันแน่ ที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์ของเรา

ถ้าข้าพเจ้าไม่มีเบอร์ใครในเครื่องเลย ข้าพเจ้าจะลืมเขาเพียงเพราะติดต่อไม่ได้หรือเปล่า
-- ไม่นี่หน่า
สิ่งที่จำได้ ระลึกนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง คือความสัมพันธ์อันดีที่ก่อตัวขึ้น จนถึงขั้นแลกเบอร์
-- ข้าพเจ้าไม่เคยจำเบอร์ของใครได้เลย

หลังจากการพบพี่เบญแล้ว ข้าพเจ้ากลับมานั่งออนไลน์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์
แชทคุยกับน้องชายคนนึง มือและนิ้วก็พิมพ์โวยวายว่าเสียดายมือถือโว้ย อย่างนู้นอย่างนี้

น้องชายคนนั้นบอกว่า "ไม่มีมือถือไม่เห็นเป็นไรนี่พี่ แต่ก่อน ผมก็ไม่เห็นใครเค้าจะมีกัน"
ข้าพเจ้าตอบเสียงสั่น(ซึ่งน้องเค้าไม่ได้ยิน) ว่า "มึงไม่เข้าใจหรอก กูผูกพันกับมันมาก"
ความจริงข้าพเจ้าตั้งใจจะพิมพ์ต่อว่า
"แต่เอาเข้าจริงๆ กูรู้แล้วว่าตัวเองผูกพันกับอะไร มันไม่ใช่แค่มือถือหรอก"
แต่ไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไป เพราะว่า.........ขี้เกียจพิมพ์

อย่างที่บอกไปตั้งแต่บรรทัดแรกแล้วว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 สัปดาห์ที่มือถือข้าพเจ้าหาย
จะไม่กล่าวอำลา สดุดีต่อเพื่อนเคียงกาย ที่จากไป ก็กระไรอยู่ ข้าพเจ้าจึงแต่งกลอนให้แก่
โนเกีย 7270 ที่รัก เครื่องนั้น ดังนี้

"เมื่อเครื่องหาย เบอร์หาย ก็ใจหาย
เคยเคียงข้าง แนบคู่กาย ใกล้ใบหน้า
1 ปีกว่า เราอยู่ สู้กันมา
ใช้รับสาย และโทรหา เมื่อต้องการ
ทั้งคลิป รูปถ่าย หายสาปสูญ
แสนอาดูร อาลัย วันแสนหวาน
ที่สำคัญ สิ่งหนึ่งทำ ฉันร้าวราน
คือแมจเสจ ชาคริต อันตรธาน ไม่กลับมา"

ก็บอกแล้วไง ว่าของมันหายาก -- จริงๆ




"สิสิร"